การศึกษาดูงานที่ประเทศญี่ปุ่น
(ระหว่างวันที่ 12-17 พฤษภาคม 2561)
ก่อนอื่นต้องขอขอบพระคุณท่าน ดร.สมชาย เหล่าสายเชื้อ ประธานกรรมการกลุ่มบริษัทคนรักดี และท่านสุรศักดิ์ เหล่าสายเชื้อ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โตโยต้าดีเยี่ยม จำกัด ที่ได้กรุณาอนุมัติโครงการดีๆ นำพนักงานผู้ที่มีผลงานดีเด่นได้มีโอกาสไปศึกษาดูงานสร้างสมประสบการณ์เพื่อนำมาพัฒนาองค์กรให้มีความเจริญก้าวหน้าต่อไปในอนาคต
กล่าวสำหรับการศึกษาดูงานของกลุ่มของโตโยต้าคนรักดี นั้น ด้วยความกรุณาของท่านประธานบริษัทและท่านกรรมการผู้จัดการ ได้มีการคัดเลือกพนักงานที่มีผลงานดีเด่น ดีอย่างเหลือเชื่อ รวมถึงระดับผู้จัดการที่มีผลการปฏิบัติงานที่ยอดเยี่ยมให้ได้รับโอกาสไปศึกษาดูงานที่ประเทศญี่ปุ่นในระหว่าง 12-17 พฤษภาคม 2561 ในครั้งนี้ นับว่าเป็นกิจกรรมที่ดีอย่างยิ่งในการที่จะเสริมสร้างพลังใจเสริมสร้างพลังสามัคคีร่วมกันในการผลักดันให้โตโยต้าคนรักดีนั้นมียอดผลการปฏิบัติงานที่ดีเยี่ยมในเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ
+++ โดยเชิงปริมาณนั้นจะต้องมี “รถยนต์ที่ขายได้จำนวนสูง” ขึ้นเป็นลำดับต่อไปในทุกๆปี และจำนวนยอดรถที่เข้าศูนย์บริการนั้นจะต้องมีจำนวนเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ ในทุกปีเช่นเดียวกัน
+++ ส่วนกรณีของเชิงคุณภาพนั่นก็คือ การได้รับค่าคะแนนความพึงพอใจจากลูกค้าที่มาใช้บริการทางด้านการขายและศูนย์บริการ ซึ่งก็คือค่า SSMI และคา CSI 1000 คะแนน ตามลำดับ
**** ดังนั้น ข้อมูลทั้งสองอย่าง คือ เชิงคุณภาพ เชิงปริมาณ จะต้องสอดคล้องกันจะต้องสอดรับกันและมีค่าเพิ่มขึ้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ด้วยเหตุนี้การศึกษาดูงานที่ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นประเทศต้นแบบของคนที่เราทราบกันดีว่าเป็นประเทศที่มีวินัยเป็นอย่างดีเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของความเป็นระเบียบเรียบร้อย ความในเรื่องของการรักษาเวลา ความในเรื่องของการมีวินัยในด้านต่างๆ เพราะฉะนั้น เชื่อว่าในการศึกษาดูงานในระหว่างวันที่ 12 ถึง 17 พฤษภาคม 2561 นี้ คณะผู้ที่ได้รับการคัดเลือกจากท่านประธานและท่านกรรมการผู้จัดการ จะได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์ในการศึกษาดูงานมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อโตโยต้ากลุ่มคนรักดีเพื่อให้คนในจังหวัดอุบลราชธานีและจังหวัดใกล้เคียงรวมทั้งประชาชนคนไทยได้รู้จักโตโยต้าคนรักดีมากยิ่งขึ้น
สำหรับพนักงานที่ได้รับการคัดเลือกในครั้งนี้นับว่าเป็นบุคคลที่มีศักยภาพในการทำงานได้ดีอย่างเหลือเชื่อได้ดีอย่างยอดเยี่ยม
*** ดังนั้น ช่วงเวลา 4-5 วันดังกล่าว ย่อมสามารถเก็บเกี่ยวประสบการณ์ของตนนำมาถ่ายทอดให้กับเพื่อนพนักงาน เพื่อที่จะได้สร้างฝัน สร้างแรงบันดาลใจ สร้างพลังในการทำงานเพื่อพัฒนาโตโยต้าคนรักดีให้มีความเจริญก้าวหน้าอย่างยั่งยืนต่อไปในอนาคต
ขอเริ่มต้นเกี่ยวกับศึกษาดูงานที่ญี่ปุ่น
ปราสาทคินคาคุจิ (Kinkaku) หรือปราสาททอง ( GOLDEN PAVILLION )
เดิมเป็นสถานตากอากาศของ โชกุนโยชิมิสึ (Yoshimitsu) แห่งตระกูลอาชิคางะ จากภาพยนตร์เรื่อง เณรน้อยเจ้าปัญญา – อิคคิวซัง ปราสาทนี้ สร้างขึ้นใหม่ในปีค.ศ . 1955 หลังจากที่ได้ ถูกไฟไหม้ ไปเมื่อปี ค.ศ . 1950 ซึ่งได้ถอดแบบจำลองโครงสร้างจากของจริงในยุคศตวรรษที่ 14 ตัวอาคารมี 3 ชั้น ตัวเรือนเป็นสีทองจาก ทองคำเปลว อีก จุดเด่นของปราสาทแห่งนี้ก็คือรูปหล่อ นกฟีนิกซ์ บนยอดปราสาท
คินคาคูจิ (Kinkaku )หรือ อาจจะเรียกว่า วัดวิหารทอง มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า ‘วัดโระคุงอนจิ’ (Rokuon-ji Temple) ซึ่งมีความหมายว่า วัดสวนกวาง เป็นวัดที่วิจิตรงดงามอีกแห่งหนึ่งในเมืองเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น จนองค์การยูเนสโกประกาศให้เป็นมรดกโลก (World Cultural Heritage )ในปี 1994 วิหารหลังงามแห่งนี้ แต่เดิมเคยเป็นที่ดินของไซออนจิ คิซูเนะ(Kintsune Saionji) (ค.ศ.1171-1244) หลังจากนั้นก็ตกเป็นของท่านโชกุน โยชิมิตสึ อาชิคางะ(Shogun of Ashikaga) ในการ์ตูน เรื่องอิกคิวซัง ซึ่งขณะนั้นโชกุนโยชิมิตสึได้ใช้วัดแห่งนี้เป็นที่พักผ่อน และรับรองแขกสำคัญ เช่น จักรพรรดิโคมัตสึ พระบิดาของ อิกคิวซัง ต่อมาในปี ค.ศ. 1419 บุตรชายของโชกุนอาชิคางะได้เปลี่ยนแปลงให้เป็นวัดนิกายเซน สายรินไซ
ข้อคิดจากการเที่ยวชม ปราสาทคินคาคุจิ (Kinkaku) หรือปราสาททอง
ศรัทธาเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ของมนุษย์ที่สามารถจะทำอะไรก็ได้ให้ประสบความสำเร็จ ดังนั้น ปราสาททองดังกล่าวถึงแม้ว่าจะถูกไฟไหม้ แต่ก็ด้วยความมีศรัทธาตั้งใจจริงย่อมสามารถที่จะสร้างใหม่ให้เหมือนเดิมและอนุรักษ์ไว้ให้ชนรุ่นหลังได้ชม ดังนั้น "ศรัทธา ตั้งใจในสิ่งใด ย่อมสร้างได้ในทุกสิ่งไปในที่สุด"
ศาลเจ้าฟุชิมิอินะริ (ญี่ปุ่น: 伏見稲荷大社 ฟุชิมิอินะริ-ไทฉะ )
เป็นศาลเจ้าชินโตของเทพอินะริ อันเป็นเทพแห่งกสิกรรม ตั้งอยู่ในเขตฟุชิมิ นครเคียวโตะ (เกียวโต) ประเทศญี่ปุ่น ศาลแห่งนี้คนไทยจะเรียกว่า ศาลเจ้าแดง หรือ ศาลเจ้าจิ้งจอก ซึ่งก่อสร้างช่วงประมาณ ค.ศ.794 หรือประมาณพันปีที่แล้ว
ศาลเจ้านี้เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมที่สุดของประเทศญี่ปุ่น ตัวศาลเจ้าตั้งอยู่บนพื้นที่เชิงเขาที่ระดับความสูง 233 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ซึ่งภูเขาก็มีนามเดียวกันคือภูเขาอินะริ ซึ่งรอบๆเชิงเขานี้ยังเป็นที่ตั้งของศาลเจ้าเล็กๆอีกมากมายตลอดระยะทาง 4 กิโลเมตร ซึ่งสามารถเดินเท้าและเยี่ยมชมได้โดยใช้เวลาเพียง 2 ชั่วโมง
ตั้งแต่ยุคโบราณ ชาวญี่ปุ่นนับถือเทพอินะริในด้านการอุปถัมภ์ค้ำชูและส่งเสริมความเจริญในการงานและกิจการ ซึ่งความศรัทธานี้ยังคงอยู่จนตราบจนปัจจุบัน บรรดาเสาโทะริอิที่มากมายของศาลเจ้าแห่งนี้นั้น ล้วนเป็นศรัทธาจากบริษัท, ห้างร้าน, โรงงานในญี่ปุ่น ซึ่งแต่ละต้นจะมีการจารึกผู้บริจาคไว้
ศาลเจ้าแห่งนี้ถือเป็นศาลใหญ่ (大社 ไทฉะ) อันเป็นต้นสังกัดของบรรดาศาลเจ้าลูก (分社 บุนฉะ น) ที่บูชาเทพอินะริ ซึ่งทั่วประเทศญี่ปุ่นมีอยู่กว่า 32,000 แห่ง
*****
โดยศาลเจ้าแห่งนี้มีเสาโทะริอิจำนวนมากที่สุดในโลก ซึ่งอาจจะประมาณหลายหมื่นต้น ทั้งนี้เสาจะมีขนาดแตกต่างกันไปเพราะว่ามีเจ้าภาพมาจัดสร้างขึ้นจัดทำขึ้นตามฐานะของตน เสาแต่ละต้นต้นใหญ่ๆอาจจะราคาหลายแสนบาท ทั้งนี้ ในเสาที่เห็นสีส้มดังกล่าวนั้นก็จะเป็นรายชื่อของเจ้าภาพที่ได้สลักลงไปซึ่งบ่งบอกถึงความมีความศรัทธาต่อศาลเจ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ ที่สำคัญอีกอย่างนึงคือถ้าศาลเจ้าแห่งนี้สามารถที่จะขอพรโดยการสั่นกระดิ่งได้ 1 อย่างและสามารถที่จะใช้น้ำศักดิ์สิทธิ์มาล้างมือทั้งสองข้าง (ตามรูปภาพ) ซึ่งก็จะนำสิ่งที่ดีๆเข้ามาสู่ชีวิต นอกจากนั้นท่านใดที่อยากจะได้โชคลาภก็สามารถที่จะเอานามบัตรหรือเขียนชื่อตัวเองลงในกล่องไม้ที่ศาลเจ้าก็จะสามารถได้รับความสำเร็จประสบความสำเร็จในสิ่งที่ตัวเองตั้งจิตอธิษฐานไว้ ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งนั้นมีนักบวชสุภาพสตรีท่านหนึ่งยืนสวดมนต์ระหว่างสะพานเป็นการบ่งบอกถึงการแผ่เมตตาจิตให้กับผู้คนเหล็กต่างๆที่เดินมาท่องเที่ยวได้รับแต่ความสุขความเจริญ
ข้อคิดที่สำคัญเกี่ยวกับการท่องเที่ยว คือ
ประเทศญี่ปุ่นได้สร้างกฎระเบียบเรียบร้อยความสะอาดในการให้ประชาชนได้ปฏิบัติตามซึ่งก็ทำให้เกิดความสวยงาม ยกตัวอย่างเช่น การข้ามถนนทางม้าลายจะต้องข้ามที่จุดทางม้าลายเท่านั้น เพราะอาจไม่ทำก็จะถูกดำเนินการตามกฎหมาย อีกทั้งบริเวณที่ท่องเที่ยวดังกล่าวก็จะมีสถานีรถไฟผ่านซึ่งทำให้สะดวกต่อการเดินทาง และมีจุดที่ฝากรถจักรยานยนต์และจักรยานสำหรับผู้คนทั่วไป ซึ่งถือได้ว่าอำนวยความสะดวกเป็นอย่างดียิ่ง
และที่สำคัญคือบริเวณทางขึ้นศาลดังกล่าวมีการส่งเสริมให้ประชาชนทำถนนคนเดินคือสินค้าโอทอป OTOP ของท้องถิ่นได้นำมาจำหน่ายให้กับนักท่องเที่ยวซึ่งเป็นเอกลักษณ์ได้อย่างดีเช่นกัน
ป่าไผ่แห่งอราชิยาม่า (Arashiyama Bamboo Groves)
ตั้งอยู่ตีนเขาในเมืองอราชิยาม่า เกียวโต ตลอดสองข้างทางนั้นรายรอบไปด้วยต้นไผ่ที่เสียดแทงกอขึ้นไปบนฟ้าสูงไม่ต่ำกว่าสิบเมตร ปกคลุมทางเดินที่ลาดเอียงไปตามเนินเขาอย่างสวยสดงดงาม
ซึ่งป่าไผ่อยู่ด้านบนของวัดเทนริวจิ (Tenryuji Temple) โดยวัดเทนริวจิ - Tenryuji-zen เป็น 1 ใน 5 ของวัดดังเก่าแก่ของนิกายเซนในญี่ปุ่น ตั้งอยู่ที่อาราชิยาม่า Arashiyama ตะวันตกของเกียวโต ได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโก้ด้วย (UNESCO World Heritage Site) วัดเทนริวจิ สร้างขึ้นในปี ค.ศ.1339 โดยโชกุน อาชิคากะ ทาคาอุจิ เพื่อเป็นการอุทิศให้แก่พระจักรพรรดิโกไกโกะที่สวรรคตไปแล้ว
ในช่วงสงคราม อาคารต่างๆ ภายในวัดเทนริวจิได้ถูกเผาทำลาย ต่อมาในสมัยเมจิได้มีการบูรณะซ่อมแซมและเปิดให้เข้าชมเป็นสถานที่ท่องเที่ยวหลักในอาราชิยาม่า โดยมีอาคารหลักๆ คือ เรือนโฮโจ (Hojo), เรือนภาพวาด (Shoin), ห้องครัว (Kuri) และสวนญี่ปุ่นที่ออกแบบมาอย่างสวยงาม เหมาะสำหรับการเข้าชมได้ทุกฤดูกาล ไม่ว่าจะเป็นช่วงซากุระที่จะมีซากุระพันธุ์ย้อยสวยๆ หรือ จะมาช่วงใบไม้เปลี่ยนสีก็สวยงาม แดง เหลือง ส้ม ไม่แพ้กัน
******
ข้อคิดที่ได้จากการเที่ยวชมป่าไผ่และวัดเทนริวจิ สิ่งสำคัญ คือ เป็นสถานที่มีการอนุรักษ์ในส่วนของธรรมชาติพร้อมทั้งมีการส่งเสริมเป็นถนนท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมพร้อมกับนำในส่วนของที่เป็นจุดเด่นคือป่าไผ่และวัดเทนริวจิมาผสมผสานเพื่อประชาสัมพันธ์ให้กับผู้คนทั่วโลกได้เห็นภาพอันสวยงาม สิ่งหนึ่งที่น่าประทับใจสถานที่ดังกล่าวแห่งนี้นั่นก็คือความเป็นระเบียบของคนญี่ปุ่นและที่สำคัญคือความสะอาด ซึ่งไม่เห็นว่ามีถังขยะใดๆ อยู่ตามข้างถนนที่แห่งใดเลย แสดงว่าผู้คนคนญี่ปุ่นนั้นมีระเบียบวินัยเป็นอย่างดียิ่งในเรื่องการดูแลรักษาความสะอาดการจัดการขยะที่เกิดขึ้นในแต่ละวันในพื้นที่ดังกล่าวจึงสะอาดเรียบร้อยสวยงามน่ามาเยี่ยมชม
เมืองโกเบ
รัฐบาลญี่ปุ่นเคยมีนโยบายที่จะย้ายเมืองหลวงมาที่แห่งนี้ แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อ 17 มกราคม ค.ศ.1995 ได้เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ทำให้ผู้เสียชีวิตประมาณ 6000 คน จึงได้ยุติโครงการย้ายเมืองหลวงมาที่แห่งนี้ เนื่องจากโกเบแต่ก่อนเห็นว่าเป็นเมืองท่าที่มีความสวยสดงดงาม อย่างไรก็ตามในปัจจุบันเมืองโกเบได้มีการสร้างตึกอาคารสูงสูงจำนวนมากมาย โดยเฉพาะโกเบทาวเวอร์มีทั้งหมด 108 ชั้น ซึ่งก็มีเป็นเมืองท่าทำให้เมืองนี้มี China Town ก็คือมีผู้คนชาวต่างชาติจีนมาสามารถพักอาศัยอยู่และมีเศรษฐกิจค่อนข้างดี มีที่ตั้งของสำนักงานใหญ่บริษัทต่างๆ มากมาย โดยอนุญาตให้ชาวต่างชาติซื้อคอนโดมิเนียมได้
วัดโทได (ญี่ปุ่น: 東大寺 โทได-จิ todaiji )
หรือวัดไทโดจิเป็นวัดพุทธในเมืองนะระ ประเทศญี่ปุ่น ศาลาหลวงพ่อโต (ไดบุสึเด็ง) ของวัดนี้ได้รับการบันทึกว่าเป็นอาคารไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปไดบุสึขนาดใหญ่หล่อจากบรอนซ์ ซึ่งเป็นพระปฏิมาแทนองค์พระไวโรจนพุทธเจ้า นอกจากนี้ วัดนี้ยังเป็นศูนย์กลางของโรงเรียนศาสนาในสายเคงอนอีกด้วย วัดนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในทะเบียนเดียวกับวัด ศาลเจ้า และสถานที่สำคัญอื่นๆอีก 7 แห่งในเมืองนะระ
ในสมัยเทมเปียว มีผู้ประสบภัยจากภัยธรรมชาติและโรคระบาดอยู่เป็นจำนวนมาก จนกระทั่งปี พ.ศ. 1286 จักรพรรดิโชมุได้ทรงประกาศว่า ประชาชนควรจะร่วมกันสร้างพระพุทธรูปขึ้นเพื่อปกป้องตนเองจากภัยพิบัติ เนื่องจากทรงมีความเชื่อว่าพระพุทธรูปจะช่วยคุ้มครองประชาชนได้ ตามบันทึกที่เก็บรักษาอยู่ในวัดโทไดได้กล่าวว่า มีคนมาช่วยสร้างพระพุทธรูปและหอที่ประดิษฐานมากกว่า 2,600,000 คน การสร้างพระพุทธรูปเริ่มต้นครั้งแรกที่เมืองชิงะระกิ แต่หลังจากเกิดเหตุเพลิงไหม้และแผ่นดินไหวจนมีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก ก็ได้ย้ายสถานที่สร้างมายังเมืองนะระ (นารา) ใน พ.ศ. 1288 และสร้างเสร็จสมบูรณ์ใน พ.ศ. 1294 ต่อมาใน พ.ศ. 1295 ได้มีการจัดพิธีเบิกพระเนตรเพื่อฉลองพระพุทธรูปองค์ใหม่ โดยมีพระภิกษุชาวอินเดียชื่อว่าพระโพธิเสนะ เป็นผู้ประกอบพิธี ตามบันทึกมีผู้มาร่วมพิธีราว 10,000 คน หลังจากนั้นจักรพรรดิโชมุได้ทรงประกาศให้วัดโทไดเป็นวัดประจำจังหวัดยะมะโตะ และเป็นศูนย์กลางของวัดทั่วอาณาจักร
การก่อสร้างขึ้นใหม่หลังสมัยนะระ หลวงพ่อโตวัดโทไดถูกสร้างขึ้นใหม่หลายครั้งโดยเหตุผลต่างๆกัน รวมทั้งความเสียหายจากเหตุแผ่นดินไหว และมีการสร้างขึ้นใหม่ 2 ครั้งที่มีสาเหตุจากเหตุเพลิงไหม้ โดยพระหัตถ์ทั้งสองข้างที่เห็นในปัจจุบันนี้สร้างขึ้นในสมัยโมะโมะยะมะ (พ.ศ. 2111-2158) พระเศียรในปัจจุบันนี้ถูกสร้างขึ้นในสมัยเอโดะ (พ.ศ. 2158-2410) และหอที่ประดิษฐานในปัจจุบันนี้สร้างเสร็จสมบูรณ์เมื่อ พ.ศ. 2252 โดยมีขนาดเล็กกว่าอาคารหลังเดิมราว 30% เดิมทีในบริเวณวัดจะมีเจดีย์สูง 100 เมตรอยู่คู่หนึ่ง ซึ่งจัดว่าเป็นอาคารที่สูงที่สุดในโลกในยุคหลังจากการสร้างพีระมิด แต่ได้พังทลายลงเนื่องจากแผ่นดินไหว
ซึ่งที่วัดแห่งนี้มีสัตว์ที่เกี่ยวข้องนั่นก็คือ "กวาง" และ "อีกาสามขา" (อีกาสามขานั้นเป็นสัตว์ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งของประเทศญี่ปุ่นทำข้อมูลที่จะอ้างอิงตามข้างล่าง) ส่วนวัดแห่งนี้นั้นเป็นอาคารไม้ที่มีความกว้างประมาณ 57 เมตร ยาว 48 เมตร สูง 50 เมตร สร้างจากไม้ซึ่งตรงนี้ก็เป็นศิลปะวัฒธรรมของญี่ปุ่นที่ทรงคุณค่า ตัวพระพุทธรูปนั้นทำด้วยบรอนซ์และก็ลงลักปิดทองรวมทั้งหมดประมาณ 500 ตัน โดยองค์พระพุทธรูปนั้นสูง 16 เมตร
ข้อคิดจากการเที่ยวชมวัดไทโดจิ
ความยิ่งใหญ่ความสวยงามของวัดแห่งนี้บ่งบอกถึงความมีศรัทธาอย่างแรงกล้าในการทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่เพื่อให้ผู้คนประชาชนได้เกิดพลังจิตพลังใจในการฟันฝ่าอุปสรรคในด้านต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของภัยจากธรรมชาติและโรคระบาด ดังนั้น ตัวศรัทธา ฉันทะ คือสิ่งที่ชอบเป็นตัวเริ่มต้นในการทำอะไรก็ตามแต่ในชีวิตของคนเรา เพราะว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่เรามีฉันทะเกิดศรัทธาก็จะนำไปสู่วิริยะ จิตตะ วิมังสา นั่นคือ อิทธิบาท 4 นั่นเอง
ศรัทธามีจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการฝึกจิตให้มีความแข็งแรงหรือมีพลังในการนำไปสู่เป้าหมายที่จิตหรือเราตั้งใจไว้ ดังนั้น ศรัทธาในเรื่องที่ดีต้องมาก่อน
*****
ข้อมูล อีกาสามขา
อีกาสามขา เป็นนกประจำองค์ อะมะเตะระสุ เทพีแห่งดวงอาทิตย์ ในนิฮงโชะกิ อันเป็นพงศาวดารญี่ปุ่น ได้บันทึกว่า จักรพรรดิจิมมุ ซึ่งทรงเป็นปฐมจักรพรรดิแห่งญี่ปุ่น เมื่อครั้งยังทรงเป็นนักรบธรรมดา เมื่อพระองค์รบแพ้ นะงะซุเนะฮิโกะ พระองค์ตระหนักว่าการที่พระองค์และพรรคพวกรบแพ้ เพราะเป็นการรบที่หันหน้าไปทางทิศตะวันออกซึ่งเข้าหาดวงอาทิตย์ ดังนั้นแล้ว พระองค์จึงตัดสินใจย้ายมาอยู่ทางด้านตะวันออกของคาบสมุทรกิอิ เพื่อที่จะรบไปทางทิศตะวันตก ทั้งนี้เป็นการชี้นำโดย อีกาสามขา ชาวญี่ปุ่นจึงถือว่าอีกาสามขาเป็นนกศักดิ์สิทธิ์ ด้วยเป็นผู้ที่ทำให้ญี่ปุ่นได้สร้างชาติขึ้นมา จนถึงปัจจุบันนี้ อีกาสามขายังได้ปรากฏอยู่้ในสัญลักษณ์หลายประการของญี่ปุ่น อาทิ ฟุตบอลทีมชาติญี่ปุ่น
ปราสาทโอซากะ (ญี่ปุ่น: 大坂城 หรือ 大阪城 )
เป็นปราสาทญี่ปุ่น ตั้งอยู่ในเขตชูโอ นครโอซากะ ประเทศญี่ปุ่น เป็นปราสาทที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศญี่ปุ่น มีบทบาทในช่วงสงครามการรวมประเทศญี่ปุ่นเมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 16 ในยุคอะซุชิ-โมะโมะยะมะ
ในปี ค.ศ. 1583 โทะโยะโตะมิ ฮิเดะโยะชิ สั่งให้มีการก่อสร้างปราสาทโอซากะที่บริเวณวัดอิชิยะมะฮงกัน โดยนำแบบแปลนมาจากปราสาทอะซุชิ อันเป็นศูนย์บัญชาการหลักของโอะดะ โนะบุนะงะ โทะโยะโตะมิต้องการจะสร้างให้เหมือนกับปราสาทอะซุชิ แต่สุดท้ายแล้วกลับโดดเด่นกว่า โดยหอคอยหลักมี 5 ชั้น และมีชั้นใต้ดินอีก 3 ชั้น มีใบไม้ทองที่ด้านข้างของปราสาท ทำให้ตัวปราสาทสวยงามโดดเด่นประทับใจผู้พบเห็น ในปี ค.ศ. 1585 เมื่อตัวปราสาทแล้วเสร็จ โทะโยะโตะมิจึงเริ่มแผนขยายตัวปราสาทเพิ่อป้องกันการรุกรานจากข้าศึก จนประทั่งในปี ค.ศ. 1597 การก่อสร้างได้แล้วเสร็จและฮิเดะโยะชิได้เสียชีวิตลง ตัวปราสาทจึงตกเป็นของบุตรของฮิเดะโยะชิ คือ โทะโยะโตะมิ ฮิเดะโยะริ
ในปี ค.ศ. 1600 โทะกุงะวะ อิเอะยะซุ ปราบศัตรูลงได้ในยุทธการเซะกิงะฮะระและเริ่มจัดตั้งรัฐบาลบะกุฟุที่เอะโดะ ในปี ค.ศ. 1614 โทะกุงะวะเริ่มโจมตีกองกำลังของฮิเดะโยะริในช่วงหน้าหนาวจนเข้าสู่ยุทธการการล้อมโอซากะ แม้กองกำลังของโทะโยะโตะมิมีจะน้อยกว่ากองกำลังของโทะกุงะวะเกือบครึ่งหนึ่ง แต่ก็สามารถต้านทานทัพ 200,000 นายของโทะกุงะวะและรักษากำแพงเมืองเอาไว้ได้
ในช่วงฤดูร้อนปี ค.ศ. 1615 ฮิเดะโยะริเริ่มขุดคูเมืองรอบนอกเพิ่มขึ้นอีกชั้น โทะกุงะวะจึงได้ส่งกองกำลังของตนไปโจมตีปราสาทโอซากะอีกครั้งหนึ่งและสามารถเจาะกำลังทหารของโทะโยะโตะมิเข้าไปในกำแพงเมืองได้เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน ปราสาทโอซากะจึงตกเป็นของโทะกุงะวะ และตระกูลโทะโยะโตะมิก็ถึงคราอวสาน
ในปี ค.ศ. 1620 โทะกุงะวะ ฮิเดะตะดะ โชกุนคนที่ 2 แห่งตระกูลโทะกุงะวะ เริ่มบูรณะและสร้างปราสาทโอซากะขึ้นมาใหม่ ยกระดับหอคอยให้สูงขึ้น ภายนอกมี 5 ชั้น ภายในมี 8 ชั้น ก่อสร้างกำแพงใหม่ให้เป็นเกียรติแต่ตระกูลซะมุไรแต่ละคน กำแพงในสมัยนั้นยังคงอยู่มาจนทุกวันนี้โดยนำหินมาจากทะเลเซะโตะใน และสลักยอดด้วยชื่อของตระกูลที่อุทิศให้กับการสร้างกำแพงเหล่านี้
ในปี ค.ศ. 1660 เกิดเหตุการณ์ฟ้าผ่าที่คลังแสงเป็นผลให้เกิดระเบิดและไฟไหม้ตัวปราสาท จากนั้นในปี 1665 เกิดฟ้าผ่าทำให้ตัวปราสาทหลักได้รับความเสียหายและพังลงมา
หลังถูกปล่อยทิ้งร้างมานาน รัฐบาลบะกุฟุต้องการจะซ่อมตัวปราสาทซึ่งมีส่วนให้ต้องซ่อมอีกมาก ในปี 1843 รัฐบาลจึงได้เรี่ยไรเงินจากประชาชนในท้องถิ่นเพื่อสร้างคอคอยขึ้นมาใหม่อีกครั้ง
ในปี ค.ศ. 1868 ปราสาทโอซากะถูกล้อมด้วยกองกำลังจักรพรรดิต่อต้านรัฐบาลบะกุฟุ และตัวปราสาทก็ถูกเผาในสงครามกลางเมืองสมัยการปฏิรูปเมจิ
ต่อมา รัฐบาลเมจิได้ให้ปราสาทโอวะกะเป็นคลังแสงผลิตปืน อาวุธยุทธภัณฑ์ และระเบิด เพื่อขยายขีดความสามารถทางการทหารของญี่ปุ่นในแบบฉบับของตะวันตก
ในปี ค.ศ. 1928 ได้มีการสร้างหอคอยหลักขึ้นมาใหม่หลังจากที่เทศบาลเมืองโอซากะสามารถระดมทุนจากประชาชนมาจำนวนมาก
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง คลังแสงกลายเป็นแหล่งผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์ที่สำคัญของญี่ปุ่น มีคนงานกว่า 60,000 คน และเป็นเป้าหมายการโจมตีทางอากาศของฝ่ายพันธมิตรด้วย ทำให้ปราสาทโอซากะเสียหายอย่างหนักในช่วงท้ายสงครามเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม ค.ศ. 1945 จากการทิ้งระเบิดครั้งใหญ่ คลังแสงเสียหายไปร้อยละ 90 และคนงานเสียชีวิต 382 คน
ในปี ค.ศ. 1995 เทศบาลนครโอซากะเริ่มต้นโครงการบูรณะปราสาทโอซากะอีกครั้ง โดยให้ภายนอกยังคงความเป็นยุคเอะโดะ แผนการบูรณะแล้วเสร็จในปี 1997 ตัวปราสาทมีความทันสมัยขึ้นมาก มีลิฟต์ติดตั้งภายในและมีสิ่งอำนวยความสะดวกแบบสมัยใหม่มากมาย
ข้อคิดจากการเที่ยวชม ปราสาทโอซากะ
การสร้างปราสาทเป็นการแสดงถึงอำนาจของเขตการปกครองของโชกุนเมื่อสมัยหลายร้อยปีที่ผ่านมาของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งสามารถที่จะบ่งบอกถึงความเข้มแข็งทางการทหารความเข้มแข็งที่มีอำนาจทางการปกครอง โดยสิ่งที่เป็นข้อคิด ก็คือ จะต้องมีการวางแผนในการจัดทำ ที่สำคัญ คือ มีการนำหินมาจากส่วนพื้นที่อื่น ซึ่งจะต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างมาก จึงบ่งบอกว่าอะไรจะต้องมีทั้งกำลังคนกำลังทรัพย์กำลังอำนาจถึงจะประสบความสำเร็จได้ และที่ขาดไม่ได้ คือ กำลังใจ พลังใจ ความมุ่งมั่น
วัดชิเทนโนจิ Shitennoji Temple
วัดนี้ทรงคุณค่าที่มีอายุกว่า 1,400 ปี เป็นอารามในพระพุทธศาสนาอย่างเป็นทางการแห่งแรกของญี่ปุ่นและถือเป็นหนึ่งในวัดที่เก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่นอีกด้วย วัดนี้สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.1136 (ค.ศ.593) โดยเจ้าชายโชโตคุ (Prince Shotoku) ในสมัยพระจักรพรรดินีซูอิโกะ (Empress Suiko)
โดยพระจักรพรรดินีซูอิโกะ (Empress Suiko) ทรงเป็นพระจักรพรรดิองค์ที่ 33 ของญี่ปุ่นและทรงเป็นผู้หญิงคนแรกที่ขึ้นครองราชย์เป็นพระจักรพรรดินีองค์แรกของญี่ปุ่น และถือเป็นราชวงศ์แรกของญี่ปุ่นที่ทรงนับถือพระพุทธศาสนาอีกด้วย ยุคนั้นนับเป็นครั้งแรกที่พุทธศาสนาประดิษฐาน ณ ประเทศญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการ โดยมีการสร้างวัด Shitennoji ขึ้นเพื่อเป็นพุทธสถานอันเป็นที่สักการะของชาวพุทธเป็นแห่งแรกของญี่ปุ่นนั่นเอง
ข้อคิดจากการเที่ยวชมวัดชิเทนโนจิ
เนื่องจากวัดแห่งนี้กำลังทำการบูรณะจึงอาจจะไม่เห็นความงดงามของภายในอย่างไรก็ตามในส่วนของการจัดการพื้นที่มีการจัดสวนหินและมีเอกลักษณ์เป็นพิเศษ แสดงว่าศาสนาพุทธก็มีความเจริญรุ่งเรืองมาเป็นเวลาพันกว่าปีที่ประเทศญี่ปุ่นแห่งนี้ ดังนั้น ทำให้เห็นว่าคนญี่ปุ่นย่อมจะเข้าถึงในคำสอนของพระพุทธเจ้า เข้าถึงหลักธรรมในเรื่องของ "กฎไตรลักษณ์" คือ ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา
ข้อคิดอื่นๆ ที่อาจจะเป็นประโยชน์ต่อการนำไปประยุกต์ใช้
ตัวอย่างที่ดีอีกอย่างหนึ่งของประเทศญี่ปุ่น คือ การทำฟุตพาส หรือว่าทางเดินเท้าด้านข้างของถนนรถยนต์ ซึ่งจะเห็นว่าไม่เป็นการยกพื้นขึ้นมาเหนือระดับพื้นรถยนต์ แต่ทำเป็นเพียงที่กั้นคอนกรีตขึ้นมาระหว่างพื้นที่ของเส้นทางรถยนต์กับเส้นทางจักรยานหรือว่าเส้นทางคนเดิน ตรงนี้แสดงเห็นว่าเป็นการประหยัดงบประมาณในการทำแล้วก็เรียบง่ายแล้ว ที่เน้นในเรื่องความปลอดภัยแบ่งกั้นระหว่างเส้นทางถนนรถยนต์กับเส้นทางฟุตบาทหรือว่าคนเดินหรือจักรยาน
สิ่งที่เห็นได้ชัดจากเมืองโอซาก้าประเทศญี่ปุ่น นั่นคือ การเตรียมการ สำหรับการเป็นเจ้าภาพ Expo 2025 Osaka-Kansai/Japan ซึ่งมีการวางแผนออกแบบการประชาสัมพันธ์เป็นการล่วงหน้าก่อนที่จะมีงานจริงถึง 7 ปีด้วยกัน ดังนั้น เป็นการบ่งบอกว่ามีการวางแผนมีการจัดเตรียมการเพื่อให้งานมีความสมบูรณ์เป็นที่ประทับใจของคนมาเยี่ยมชม Expo 2025
**** ข้อคิดในการทำงานดังกล่าวคือไม่ว่าจะเป็นการทำสิ่งใดจะต้องวางแผนเป้าหมายไว้ให้ดีและมีการเตรียมการล่วงหน้าในระยะเวลาที่มากพอเพื่อให้มีการประชาสัมพันธ์ได้อย่างทั่วถึงในสื่อทุกรูปแบบ
ณ ถนนคนเดินหรือว่าที่ให้คนช้อปปิ้งของเมืองโอซาก้า (ตรงกลางใจกลางเมือง) นั้นจะมีจุดที่แสดงถึง การประชาสัมพันธ์ในส่วนการดูแผนที่ผ่าน QR code รวมถึงการให้ใช้ wifi ฟรีสำหรับนักท่องเที่ยว ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งกับนักท่องเที่ยวทั้งชาวต่างประเทศที่มาเดินช็อปปิ้ง ณ สถานที่ใจกลางเมืองโอซาก้า
สรุป
ท่องเที่ยวที่ญี่ปุ่น
นับเป็นบุญหนุนได้ไป
วัดวาต่างยิ่งใหญ่
ไม่ว่าใครใยต้องชม
ระเบียบและเรียบร้อย
ส่ิ่งใหญ่น้อยน่าเหมาะสม
เดินเที่ยวอภิรมย์
คนนิยมสมแท้จริง
ญี่ปุ่นมีวินัย
แล้วคนไทยใยต้องนิ่ง
ช่วยกันในทุกสิ่ง
วินัยยิ่งจริงด้วยใจ
คิดค้นสิ่งประดิษฐ์
ด้วยดวงจิตคิดของใช้
ญี่ปุ่นเจริญไว
มีวินัยใจศรัทธา
อดทนเป็นที่ตั้ง
จิตพร้อมสั่งทุกเวลา
ญี่ปุ่นคนมีค่า
ต้องค้นหาพาเจริญ
ท่องเที่ยวมุ่งคิดค้น
ได้ทุกคนสนเพลิดเพลิน
มั่นเพียรให้มากเกิน
พร้อมก้าวเดินคนรักดี
อจ.ตุ้ย
17 พฤษภาคม 2561
ขอขอบพระคุณแหล่งข้อมูลประกอบข้างต้นจาก Social Media ต่างๆ มา ณ โอกาสนี้ (ข้อมูลนี้ไม่ได้เพื่อการพาณิชย์ใดๆ ทั้งสิ้น)
ShaoLin Temple กิจกรรมดีๆ เดินขึ้นเขาวัดเส้าหลิน